เว็บซื้อขายรถบรรทุกมือสอง
www.truck1sell.com
หน้าแรก || ขายรถ || ซื้อรถ || เต็นท์สมาชิก || ซื้อขายสินค้า || เกี่ยวกับเรา || การชำระเงิน || ติดต่อเรา
ชื่อผู้ใช้งาน
รหัสผ่าน
 
สมัครสมาชิก คลิกที่นี่
ลืมรหัสผ่าน
เทคนิคการดูแลรักษารถยนต์...
เทคนิคการดูแลรถและถนอมเครื่...
ยางกับการจอด...
คนเข้าใจรถ หรือ รถเข้าใจคน ...
ลักษณะของการเข้าจอด...
ทำไม แบตเตอรี่มีอายุการใช้ง...
กฏเหล็กในการซื้อรถมือสอง...
การดูแลรักษารถเบื้องต้น...
การเลือกซื้อรถมือสอง...
4 คำถามต้องรู้… ก่อนคิดซ่อม...
อ่านต่อ...
สมาชิกเต็นท์รถเข้าสู่ระบบ คลิกที่นี่
สมัครสมาชิกเต็นท์รถ คลิกที่นี่



LINE ID 4423033  0807964423
 
การเติมลมยาง
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2555 อ่าน 671 ครั้ง
การเติมลมยาง ถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์ ถ้าขาดการดูแลที่ดี จะเกิดผลเสียดังนี้


  
เติมลมน้อยเกินไป
ยางจะบวมล่อนได้ง่ายอายุการใช้งานลดลง ดอกยางสึกผิดปกติอาจจะสึกที่ขอบยางข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างสึกที่ไหล่ยางหรือสึกที่ปลายดอกมีความฝึดที่ผิวสัมผัสมากซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กว่าปกติ


เติมสูบลมมากเกินไป
เมื่อได้รับแรงกระแทกจะระเบิดได้ง่าย อายุการใช้งานลดลง ดอกยางโดยเฉพาะกลางหน้ายางจะสึกมากถ่ายเทการสั่นสะเทือน หรือการ กระแทกขึ้นสู่ตัวรถได้มาก ขาดความนุ่มนวล

การเติมลมของยางล้อคู่
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมลมและรักษาระดับแรงดันลมในล้อคู่ให้เท่ากัน ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นยางเส้นที่มีแรงดันมากจะรับน้ำหนักมากชำรุดเสียหายง่ายสึกหรอผิดปกติเส้นที่เติมลมน้อยจะรับน้ำหนักน้อยการสึกของ ยางจะไม่เรียบเสมอกัน หรือสึกอย่างผิดปกติ

- ไม่ควรปรับความดันลมยางในขณะยางร้อน เนื่องจากความร้อนทำให้อากาศขยายตัว
- ยางเรเดียลเส้นลวดต้องเติมลมมากกว่ายางผ้าใบธรรมดา

ความแตกต่างของแรงดันลมเพียง 1 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 14 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 400 ก.ก. ถ้าแรงดันลมต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว จะรับน้ำหนักต่างกันถึง 800 ก.ก. ในกรณีแรงดันลม ต่างกัน 2 ก.ก./ซ.ม.2 หรือ 28 ปอนด์/ตร.นิ้ว ยางเส้นที่เติมลมมาก จะมีอายุใช้งานเพียง 70% เส้นที่ลมยางอ่อนจะมีอายุการใช้งานเหลือเพียง 45% การเติมลมให้เท่ากันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น จึงควรเติมลมให้พอดีตามเกณฑ์ที่โรงงานกำหนด หรือพิจารณาให้สอดคล้องกับสภาพการใช้งาน นอกจากต้องเติมลมให้
ถูกต้องแล้วจะต้องมีการตั้งศูนย์ล้อ ตั้งมุมของล้อหน้า ให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตามมาตรฐานของรถยี่ห้อนั้นๆ อีกด้วย

การตรวจเช็คลมยางควรตรวจเช็คในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ และเพื่อให้ได้ค่าที่ถูกต้องควรเติมลมยางให้ได้ตามมาตรฐานที่บริษัทรถกำหนด

นอกจากนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเก็บยางไว้นานๆ ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ยางสัมผัสกับความร้อน แสงแดด ลม ฝน ความชื้นน้ำมันและสารเคมีต่างๆ หากสามารถปฏิบัติได้ตามนี้ อายุการใช้งานของยางก็จะยาวนานขึ้น

ตัวเลขและสัญลักษณ์บนแก้มยาง
    
ตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางรถยนต์นั้น สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติของยางได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นขนาดของยาง เช่น หน้ากว้าง ซีรี่ส์ ขนาดขอบกระทะล้อ และยังบ่งบอกถึงขีดจำกัด ความเร็วสูงสุด, ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ รวมไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ อีกด้วยซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวถือว่าเป็นข้อมูลทั่วๆไป ที่ท่านเจ้าของรถควรจะทราบเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยางในครั้งต่อไปได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถยนต์ของท่าน



195/60R14 85H
195    คือ    ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
60    คือ    ซีรีส์ยาง
R    คือ    โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14    คือ    เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
85    คือ    ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น
H    คือ    ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด

สำหรับความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถกระบะ มีลักษณะดังนี้
195R14C 8PR
195    คือ    ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
R       คือ    โครงสร้างยางแบบเรเดียล
14     คือ    เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว
C      คือ    ยางที่ใช้เพื่อการขนส่ง (มาจากคำว่า commercial)
8PR    คือ    อัตราชั้นผ้าใบเทียบเท่า 8 ชั้น
(ในส่วนของซีรีส์ ถ้าไม่ได้ระบุ คือ ซีรีส์ 80)

ความหมายของตัวเลขและตัวอักษรบนแก้มยางรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จะมีลักษณะดังนี้
31x10.5R15
31    คือ    เส้นผ่าศูนย์กลางยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
10.5    คือ    ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นนิ้ว
R    คือ    โครงสร้างยางแบบเรเดียล
15    คือ    เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว